สร้างแบรนด์ดัง ปังได้ใน 7 ขั้นตอน

ธุรกิจ
31 March 2020
แบ่งปันข้อความนี้copylink
สร้างแบรนด์ดัง ปังได้ใน 7 ขั้นตอน
span.blog-des { display: none; } .col-12 > div.inner-container { padding-left: 25px; padding-right: 25px; } “ทำยังไงนะให้แบรนด์ติดตลาด” “ทำยังไงนะ ให้คนจำแบรนด์ จำกล่อง จำสินค้าของเราได้” “สร้างแบรนด์ดีๆ ออกแบบบรรจุภัณฑ์เลิศๆ นี่เริ่มกันยังไง?” LocoPack เชื่อว่า คำถามเกี่ยวกับ “การสร้างแบรนด์” เหล่านี้น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องกุมขมับกันมานักต่อนัก ว่าแล้วเพื่อช่วยให้ทุกท่านสร้างแบรนด์ให้ดัง ปังได้ เราขอนำเสนอ 7 ขั้นตอน การสร้างแบรนด์เวอร์ชั่นเข้าใจง่าย ดังต่อไปนี้ 1. ทำความเข้าใจตลาด ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ เลือกโลโก้ หรือผลิตกล่องกระดาษกันนั้น เราขอชวนคุณเริ่มต้นจากสเต็ปที่ 1 อย่างการพิจารณาทบทวน “ตลาด” ของสินค้ากันสักหน่อย โดยศึกษาดูว่า “ใคร” คือกลุ่มลูกค้าหลัก และ “ใคร” คือคู่แข่งตัวฉกาจของสินค้า ซึ่งคุณสามารถทำได้หลายวิธีนะครับ ทั้งผ่านการกูเกิ้ลข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคุณ เพื่อดูว่าใครบ้างที่เป็นคู่แข่งในตลาด สืบหาข้อมูล ฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าจากกลุ่มลูกค้า สอบถามความเห็นของกลุ่มลูกค้า ว่านิยมเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ไหนอยู่ เช่น สินค้าของคุณคือเครื่องสำอาง ก็ลองสืบเสาะข้อมูลดูว่า กลุ่มลูกค้าหลักของคุณ นิยมซื้อเครื่องสำอางประเภทนี้ จากแบรนด์ไหนกันอยู นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านตลาดออฟไลน์ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมที่จะตรวจตราดูเพจหรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ ที่ขายสินค้าชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับคุณ และอาจลองใช้วิธีสวมบทบาทลูกค้าเสียเองโดยลองชอปปิ้งดูด้วยตัวเองกันสักครั้งไปเลย 2. กำหนดหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์ เพราะทุกๆแบรนด์ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ว่าแล้วขั้นตอนต่อมาของการสร้างแบรนด์ดัง คือการสร้างจุดโฟกัสหรือลักษณะเฉพาะนั่นเองครับ อย่างการออกแบบกล่องกระดาษ หรือบรรจุภัณฑ์ก็เช่นกัน ที่ทั้งนักออกแบบและเจ้าของกิจการจะต้องมีหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์กำหนดไว้แล้วในใจ สำหรับขั้นตอนนี้ คุณสามารถทำได้ง่ายๆ โดยลองตอบคำถามง่ายๆเหล่านี้กันก่อนเลย “อะไรคือคำจำกัดความของสินค้า?” ลองนึกดูสั้นๆ แต่งประโยคที่พูดถึงจุดเด่นของสินค้าคุณ เพื่อช่วยในการกำหนดหน้าตาและบุคลิกของแบรนด์ เช่น “เราขาย (สินค้า) สำหรับ (กลุ่มลูกค้า) เพื่อ (วัตถุประสงค์) ต่างกับ (คู่แข่ง) (ระบุข้อแตกต่าง)” ซึ่งเมื่อลองเติมข้อความดูจะได้ว่า “เราขายน้ำดื่มสำหรับนักกีฬา ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน แตกต่างจากเจ้าอื่นด้วยแคมเปญ ที่บริษัทจะปลูกต้นไม้เพิ่ม1ต้น สำหรับยอดขายน้ำ 1ขวด”  “ใช้คำสั้นๆ เพื่ออธิบายสินค้า”  เพื่อช่วยคุณกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลองตัดสินใจเลือกคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเพื่ออธิบายตัวตนของสินค้าคุณ โดยลองนึกว่าตัวตนแบบไหนกันนะ ที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ อาทิ “หรูหรา” “สนุกสนาน” “อ่อนเยาว์” หรือแม้แต่ “เซ็กซี่” นอกจากนี้คุณอาจลองใช้วิธีเปรียบเปรยสินค้าของคุณเป็นสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อกำหนดบุคลิกของแบรนด์ หรือเผลอๆอาจใช้เป็นโลโก้ ยี่ห้อให้คุณได้เช่นกัน 3. เลือกชื่อทางธุรกิจ การตัดสินใจเลือกชื่อทางธุรกิจย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะ และแผนธุรกิจที่วางไว้ หากคุณวางแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้าหรือบริการ การตั้งชื่อให้กว้างและครอบคลุมเข้าไว้ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการตั้งชื่อแบรนด์ที่ตั้งเพื่อเจาะจงขายสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันเราก็มีตัวช่วยหลายช่องทางนะครับสำหรับการตั้งชื่อแบรนด์ ไม่ว่าเว็ปไซต์สำหรับช่วยตั้งชื่อโดยเฉพาะ หรืออาจลองเลือกใช้วิธีการเลือกชื่อผ่านขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ดู  -สุ่มเลือกชื่อแบรนด์ เช่น Pepsi -ใช้ศัพท์ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องแต่น่าสนใจ เช่น Apple สำหรับสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์  -ใช้คำเปรียบเปรย เช่น Buffer -อธิบายแบบตรงตัว เช่น The Shoe Company  -สลับสับเปลี่ยนตัวอักษร หรือใช้ภาษาต่างประเทศเข้ามาผสม เช่น Tumblr (Tumbler) หรือ Activia  -ใช้ตัวอักษรย่อ เช่น HBO (ที่มาจาก Home Box Office)  -ใช้เทคนิครวมคำ เช่น Pinterest (จาก pin interest) หรือ Facebook (Face+Book) 4. เลือกสีและฟอนท์ตัวอักษร การเลือกสี: นอกจากสีจะบ่งบอกลักษณะเฉพาะของแบรนด์ได้แล้ว สียังทำหน้าที่สื่อสารกับผู้พบเห็นผ่านบรรจุภัณฑ์ และกล่องกระดาษใส่สินค้า โดยสีจะเป็นตัวส่งต่ออารมณ์ ความรู้สึก เกี่ยวกับแบรนด์สู่บุคคลภายนอก นอกจากนี้คุณควรเลือกสีที่แตกต่างจากแบรนด์คู่แข่ง เพื่อไม่ให้ผู้พบเห็นจำสับสน และสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ กล่องกระดาษ หรือบรรจุภัณฑ์อื่นๆของคุณ (ลองพิจารณาภาพข้างต้น ที่เปรียบเทียบสีแต่ละสีสามารถบ่งบอกได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันไป) การเลือกฟ้อนท์: สำหรับเทคนิคของการเลือกฟ้อนท์นั้น คือพยายามอย่าเลือกฟ้อนท์เกิน 2 ฟ้อนท์สำหรับใช้ในบรรจุภัณฑ์ หรือสำหรับเว็ปไซต์ของคุณเพราะจะดูน่าสับสนมึนงงจนเกินไป นอกจากนี้เครื่องมือออกแบบบนโลกออนไลน์อย่างโปรแกรม Font Pair สามารถช่วยคุณจับคู่ฟ้อนท์ได้อย่างน่าสนใจ 5. ตั้งสโลแกน แบรนด์ที่ดีควรมีสโลแกนที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยสโลแกนนั้นควรสั้นกระทัดรัด และได้ใจความเหมาะสมนะครับ เพราะสโลแกนของสินค้าคุณ ย่อมถูกใช้สำหรับการเขียนลงบนสื่อกลางการสื่อสารต่างๆ ทั้ง โฆษณา ฉลาก บรรจุภัณฑ์ กล่องกระดาษ เว็บไซต์ หรือแม้แต่นามบัตรของผู้บริหาร ทั้งนี้สโลแกนก็สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ เพื่อก้าวทันเทรนด์ตลาดเช่นกัน เพราะอย่างแบรนด์ดังระดับโลกแบบ Pepsi เองก็เปลี่ยนสโลแกนมาแล้วกว่า 30 ครั้งเลยทีเดียว  ทั้งนี้เทคนิคการตั้งสโลแกนที่น่าสนใจได้แก่ การบอกข้อดีของสินค้า เช่น “The World’s Strongest Coffee” (DeathWish Coffee) การเปรียบเทียบเปรียบเปรยสินค้า “Redbull gives you wings” ใช้คำคล้องจอง “The best part of wakin’ up in Folgers in yours cup.” เป็นต้น 6. ออกแบบโลโก้ โลโก้ หรือเครื่องหมายการค้า นับเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อนึกถึงการสร้างแบรนด์ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกนะครับ เพราะโลโก้จะกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของกิจการคุณ ซึ่งแน่นอนว่าคุณจะต้องสร้างโลโก้ที่มีเอกลักษณ์ สามารถบ่งบอกตัวจน และที่สำคัญ ในขั้นตอนการออกแบบโลโก้ต้องอย่าลืมคำนึงว่า โลโก้จะต้องสามารถใช้ได้กับการออกแบบสื่อโฆษณาทุกขนาด ทุกประเภท ทั้งการปรากฎบนเพจเฟสบุค หรืออินสตราแกรม รวมไปถึงวางอยู่บนตัวบรรจุภัณฑ์ สินค้าของคุณเอง โดยอาจเลือกใช้โลโก้มากกว่าหนึ่งแบบ เพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานจริง อย่างโลโก้ของห้างสรรพสินค้า Walmart ที่ทางแบรนด์เลือกใช้โลโก้สัญลักษณ์สำหรับรูปโปรไฟล์บนเฟสบุค และโลโก้ที่เป็นตัวอักษร (wordmark) สำหรับธุรกิจอีกประเภทในเครือเดียวกัน และต้องอย่าลืมว่า โลโก้ของคุณควรที่จะสอดคล้องกับสีและฟ้อนท์ที่คุณเลือกไว้ตามหัวข้อก่อนหน้านี้ นอกจากนี้โลโก้ยังมีหลายประเภทให้คุณเลือกใช้ ทั้งแบบ Abstract อย่างโลโก้ของ Google Chrome ที่ตัวโลโก้ไม่ได้บ่งบอกความหมายโดยตรง โลโก้ที่ใช้ Mascot หรือการใช้ตัวการ์ตูน คาแรกเตอร์ประจำร้านเช่น Wendy’s โลโก้แบบ Emblem หรือผสมผสานระหว่างรูปภาพและตัวอักษรเช่น Starbucks โลโก้แบบ Lettermark ของ IBM หรืออาจเลือกใช้โลโก้ชนิด Icom แนวเดียวกับ Twitter 7. พัฒนาแบรนด์สม่ำเสมอ เมื่อแบรนด์คุณเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ได้ทั้งชื่อ ได้สี ฟ้อนท์ และโลโก้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือสินค้าประเภทใด คุณก็ยังคงมีหน้าที่ตามสเต็ปที่ 7 นั่นก็คือการไม่หยุดหย่อนพัฒนาแบรนด์! เพราะแบรนด์ที่ดัง ปังได้ ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ความใส่ใจ และมุ่งมั่นพัฒนาแบรนด์ ศึกษาตลาด ตามเทรนด์ให้ทันอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้า บริการ รวมถึงการตัดสินใจเลือกใช้ กล่องบรรจุภัณฑ์หน้าตาดี หรือแพคเกจจิ้งสวยงามนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจยั่งยืนและงอกงามCredit: Shopify

บทความที่เกี่ยวข้อง
สร้างแบรนด์เครื่องสำอางเงินล้านจาก 0!!
ธุรกิจรับทำแพคเกจจิ้ง
11 May 2020
ปัจจุบันไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่แบรนด์เครื่องสำอางใหม่ๆเต็มไปหมด การจะเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางนั้นจึงดูยากมาก แต่จริงๆแล้วตลาดนี้ยังคงเติบโตแบบไม่มีถดถอย ภาพรวมตลาดความงามในไทยเมื่อปี 2559 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่า 6.5% มีมูลค่ารวมกว่า 154,000 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ความงามไปอย่างมาก ดังนั้นจึงยังมีโอกาสในตลาดนี้ซ่อนอยู่ 1. จะขายอะไรดี?คำถามแรกที่เราต้องตอบให้ชัดเจนและทำการบ้านมาเป็นอย่างดีก่อน เพราะเรามีคู่แข่งมากมายในท้องตลาด เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์ที่เราอยากขายในใจแล้ว ลองตอบคำถามเหล่านี้กันก่อนที่เริ่มจะลงมือกันครับ ตัวอย่างคำถามที่ควรตอบให้ได้ก่อนเริ่มลงมือทำ: กลุ่มผู้บริโภคที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา คือกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ มีรายได้ประมาณเท่าไหร่ต่อเดือน ปัญหาของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดแล้ว มีอะไรบ้าง? ผลิตภัณฑ์ที่จะทำ แตกต่างและดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆในท้องตลาดอย่างไร? ผลิตภัณฑ์ที่จะทำ ตอบโจทย์ความต้องการ และปัญหาของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วได้จริงหรือไม่? เราจะวางขายที่ไหนบ้าง? วิธีการหาคำตอบเหล่านี้ก็คือการลงสนามนั่นเอง การที่จะได้ข้อมูลของลูกค้า เราก็ต้องไปถามกลุ่มเป้าหมายเรากันครับว่าเขาต้องการอะไรบ้าง เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเรา คิดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาหญิง อายุ 17-21 ปี เราก็ลองไปสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 5-10 คน ว่าเขาคือกลุ่มเป้าหมายของสินค้าเราจริงหรือไม่ สอบถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ว่าตรงกับที่เราคิดหรือไม่ อยากได้ผลิตภัณฑ์แบบไหน เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าของเราให้ตรงใจผู้บริโภคกันครับ เมื่อตอบคำถามได้ครบแล้ว คราวนี้ เราต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทั้งด้านเทรนด์ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงตลาด และผู้บริโภคเพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องหรือไม่2. รู้จักคู่แข่ง คุณรู้หรือไม่ว่าคู่แข่งของคุณคือใครบ้าง? ตอนที่คุณลงสนาม คุณควรจะได้รายชื่อสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายใช้อยู่แล้วมาบ้าง และอาจจะลองหาเพิ่มสัก 2-3 แบรนด์ที่จับกลุ่มผู้บริโภคเดียวกัน ในราคาที่ใกล้เคียงกัน ลองติดตามเพจและความเคลื่อนไหวของแบรนด์คู่แข่งของเราเสมอ พยายามหาจุดแข็งและจุดอ่อน วิธีการทำตลาด วิธีการขาย การตอบคำถามลูกค้า รวมทั้งอ่านคำถาม คำติชมของลูกค้าแบรนด์คู่แข่ง เพราะนี่คือโอกาสให้เราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของแบรนด์และความต้องการของลูกค้าได้แบบไม่ต้องลงทุนไปก่อน วิธีการหาแบรนด์คู่แข่งก็ไม่ยากเลย ลองเสิร์จใน Google ก็จะพบลิสต์ของแบรนด์ที่ทำผลิตภัณฑ์ที่เราอยากทำมากมาย หรือจะหาจากแฮชแท็กใน Instagram ก็ได้เหมือนกันครับ 3. รู้จักผู้บริโภคเราจะขายสินค้าให้กับใคร เราต้องรู้จักผู้บริโภคของเราว่าต้องการอะไร มีปัญหาอะไรกับสินค้าปัจจุบันที่เลือกใช้หรือไม่ นอกจากวิธีการเข้าไปสัมภาษณ์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามที่แนะนำข้างต้นแล้ว วิธีการศึกษาผู้บริโภคยังมีอีกหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการดูเมคอัพรีวิว Beauty Blogger, Beauty Guru หรืออาจจะไปเดินดูพฤติกรรมผู้บริโภคเวลาซื้อสินค้าตามร้านค้าต่างๆ ว่าเขาเลือกซื้อจากปัจจัยไหนบ้าง อีกหนึ่งวิธีที่เป็นประโยชน์มากสำหรับการศึกษาเทรนด์ผู้บริโภค คือ การใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Google Trends ที่เราสามารถใส่คีย์เวิร์ดในการเสิร์จหาจากกูเกิลเพื่อดูได้เลยว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมีการเสิร์จหาของคำๆ นี้มีเทรนด์เป็นอย่างไรบ้าง เช่น จะเห็นได้ว่า เทรนด์ของการเสิร์จหา “คุชชั่น” นั่นเพิ่งเริ่มเมื่อกลางปี 2015 พุ่งขึ้นสูงที่สุดเมื่อต้นปี 2017 และและเริ่มแผ่วลงเมื่อปลายปี 2017 ก่อนจะกลับมาสูงอีกครั้งช่วงปลายปี 2017 ถึงต้นปี 2018 และยังสามารถดูได้อีกด้วยว่า ผู้บริโภคโซนใดมีการเสิร์จหาคีย์เวิร์ดคำนี้มากที่สุด เมื่อนำทั้งสองคำมาเปรียบเทียบกันในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ได้ผลดังนี้ Google Trends จึงเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการศึกษาพฤติกรรมการเสิร์จหาของผู้บริโภค พฤติกรรมการเลือกซื้อ เทรนด์ที่มาแรงหรือกระแสผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งกระแสที่กำลังตกลง รวมทั้งยังช่วยในการตั้งชื่อ เรียกสินค้าอิงจากการเสิร์จหาได้อีกด้วย มาลองดูการเปรียบเทียบสินค้าที่ใกล้เคียงกัน ด้วยคีย์เวิร์ด “คุชชั่น” “บีบีครีม” “ซีซีครีม” และ “ดีดีครีม” กันครับว่าจะต่างกันอย่างไรบ้างในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าข้อมูลนี้มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกทำสินค้าอย่างมากเลยครับ ดังนั้นอย่าลืมเช็คเทรนด์การเสิร์จก่อนเริ่มทำสินค้านะครับ4. พัฒนาผลิตภัณฑ์การตลาดที่ดีเริ่มต้นที่ผลิตภัณฑ์ที่ดี และมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้นโดยรวมแล้วสามารถพัฒนาได้ 2 แบบ คือ ใช้ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เป็นจุดขาย ใช้ความแตกต่างของคอนเซ็ปต์แบรนด์เป็นจุดขาย ซึ่งทั้งสองแบบนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็แตกต่างกัน หากคุณเลือกที่จะขายผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ขั้นตอนการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์นั้นต้องเริ่มตั้งแต่ สร้างคอนเซ็ปต์ของสินค้า จุดขายของสินค้าคืออะไร พัฒนาสูตรสินค้า ส่วนผสมเกรดคุณภาพประมาณไหน ต้องนำเข้าหรือไม่ เน้นธรรมชาติหรือไม่ ต้นทุนการผลิต ประมาณเท่าไหร่ ต้องขอการรับรองอย่างไร ทดสอบผลิตภัณฑ์กับคนหลายๆกลุ่ม เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นนำไปปรับปรุง ซึ่งขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้สูตรที่ลงตัวอาจจะใช้เวลานาน ขั้นตอนนี้ควรจะต้องทำงานร่วมกับแลปทดลอง หรือบริษัท OEM ที่ได้มาตรฐาน แต่หากคุณต้องการขายคอนเซ็ปต์ของแบรนด์เป็นหลัก ข้ามการผลิตสูตรเอง ก็สามารถหาผลิตภัณฑ์สูตรสำเร็จจากโรงงาน OEM เครื่องสำอาง ปรับสีหรือกลิ่นเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ แล้วนำมาสร้างแบรนด์เพื่อขายได้เลย ตัวอย่างเช่น คุณต้องการผลิต อาย แชโดว์คอนเซ็ปต์เจ้าหญิง ตัวผลิตภัณฑ์หรือสูตรของอสายแชโดว์นั้นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับการออกแบบภาพลักษณ์ และบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ให้ดูสวยงามเหมือนกับเครื่องสำอางของเจ้าหญิงจริงๆ การพัฒนาสินค้าแบบนี้เหมาะสำหรับการเกาะกระแสผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรง ไม่ต้องเสียเวลาในการพัฒนาสูตรใหม่มากนัก ผลิตออกมาจำหน่ายได้เลย5. เลือกโรงงานผลิตเมื่อเรารู้แล้วว่า ต้องการผลิตภัณฑ์อะไร การเลือกโรงงานผลิตเครื่องสำอางก็สำคัญมากเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่ามีโรงงาน OEM เหล่านี้อยู่มากมาย การบริการก็หลากหลาย มีทั้งแบบที่รับผลิตและพัฒนาสูตรในแลป พร้อมกับขอจดอย.ให้พร้อม โดยรวมแล้วเราควรพิจารณาโรงงานสำหรับผลิตสินค้าเราดังต่อไปนี้ มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานรับรอง ความน่าเชื่อถือของโรงงานผลิตนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก มาตรฐานรับรอง ความสะอาดของสถานที่ผลิต ความชำนาญในการผลิต เครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน ทุกอย่างควรตรวจสอบได้และโปร่งใส ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ในเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมวัตถุดิบที่ใช้มีคุณภาพ มีความชำนาญการโรงงานมีแลปในการพัฒนาสินค้าโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จริง ใช้ส่วนผสมที่ปลอดภัยตรวจสอบที่มาได้ และปลอดภัยกับผู้บริโภค สามารถตรวจสอบได้ว่าปริมาณสารที่ใส่นั้นเป็นไปตามที่ตกลงกันและไม่มีสารปลอมปน ดูแลเอาใจใส่ดีไม่ใช่เพียงแค่มาตรฐานที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น โรงงานควรจะใส่ใจในความต้องการของเรา เพราะการผลิตสินค้าแต่ละชิ้นนั้นไม่ง่ายเลย บางทีเราก็อยากรู้ อยากถามคำถามมากมาย เราก็คงอยากได้ทีมงานดูแลที่พร้อมอำนวยความสะดวกและตอบคำถามเราได้สูตรลับ ห้ามเผยแพร่สูตรของเราถือว่าเป็นความลับของเรา โรงงานที่ดีควรจะปกป้องสูตรของสินค้าไม่แพร่งพรายให้แบรนด์อื่นทราบ ซึ่งตรงนี้สำคัญมากเวลาที่เราเซ็นต์สัญญากับโรงงานผลิต จะต้องตรวจสอบสัญญาข้อนี้ให้รอบคอบเสมอ ก่อนจะทำสัญญา ก็ควรสอบถามรายละเอียดการผลิตให้ดีและครบถ้วนก่อน เช่น ค่าใช้จ่ายจากการจ้างผลิตสูตรเท่าไหร่ เปรียบเทียบระหว่างโรงงานจัดหาวัตถุดิบและเราหาวัตถุดิบเอง จำนวนการผลิตขั้นต่ำกี่ชิ้น ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการจัดส่ง รวมในค่าผลิตสินค้าหรือไม่ ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าจัดส่ง ชำระเงินอย่างไร เป็นเครดิตหรือต้องจ่ายเงินสด มัดจำเท่าไหร่ โรงงานผลิต OEM ที่มีมาตรฐาน ได้รับการยอมรับ Derma Innovation บริษัท เดอร์มา อินโนเวชั่น จำกัด SMEs ดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2017 การันดีคุณภาพโรงงานผลิตเครื่องสำอางและอาหารเสริม ที่ๆคุณมาแล้วมีบริการครบ พร้อมกับไลน์สินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกหมวดหมู่เครื่องสำอาง https://www.derma-innovation.com/ Quality Plus โรงงาน OEM ที่เชียวชาญด้านการผลิตเครื่องสำอางมาตรฐาน มีไลน์ผลิตภัณฑ์มากมายครอบคลุมทุกประเภท มาพร้อมกับมาตรฐานการรับรองมากมาย และยังรับจดทะเบียนเครื่องสำอางของต่างประเทศอีกด้วย https://www.qualityplus.co.th Villa Makeup OEM เมคอัพจากเกาหลีเกรดพรีเมี่ยม ที่สามารถติดหลังแบรนด์ว่า ‘made in korea’ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นแป้งพัฟ รองพื้น ลิปสติก อายแชโดว์ มาสคาร่า น้ำหอมฝรั่งเศส และอื่นๆ อีกมาก เรียกได้ว่ามาที่เดียวจบจริงๆ http://www.villamakeup.com/ 6. การตลาด สำคัญกว่าที่คุณคิดเจ้าของธุรกิจหลายท่านมุ่งเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์มากจนลืมคิดถึงเรื่องการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเครื่องสำอางที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ที่ดีคงไม่เพียงพอ เรามาดูขั้นตอนหลักๆ ของการวางแผนการตลาดกันครับ การตลาดที่ดีเริ่มต้นตั้งแต่ตัวผลิตภัณฑ์เอง หากสินค้าเราดีผู้บริโภคก็จะทำการตลาดด้วยการบอกต่อให้เราเอง ยิ่งเรามีคอนเซ็ปต์เฉพาะตัวก็จะช่วยให้การบอกต่อแบรนด์เรานั้นง่ายขึ้น ดังนั้นชื่อแบรนด์ โลโก้ การใช้สี ฟอนต์ และคอนเซ็ปต์ของแบรนด์โดยรวม ควรจะต้องจำง่าย ดึงดูด และมีความเสมอต้นเสมอปลาย เพราะแบรนด์เป็นเครื่องมือสื่อสารถึงผู้บริโภคว่า แบรนด์เรามีจุดยืนอย่างไร บุคลิกของแบรนด์จะครอบคลุมไปถึงการออกแบบสื่อต่างๆ อีกด้วย ตัวอย่างของแบรนด์ที่แข็งแรง เช่น แบรนด์ Innisfree ที่มีเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ชัดเจน โลโก้ฟอนต์ที่ใช้ และสีที่ใช้เป็นสีเขียวสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ และทิศทางของสินค้าในแต่ละไลน์ที่ออกมาก็จะมีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นตัวชูโรงทั้งสิ้น ซึ่งทั้งการตกแต่งหน้าร้านและช่องออนไลน์ ก็จะเน้น mood and tone แนวธรรมชาติทั้งหมด รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในทางบวกเสมอ จึงเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับทั้งตลาดตะวันตกและตะวันออก ออกแบบแพคเกจจิ้งไม่ว่าจะเป็นกล่องใส่สินค้า หรือขวดที่อยู่ด้านในให้ดูน่าใช้และโดดเด่น เวลาวางเทียบกับแบรนด์อื่น แล้วสามารถดึงดูดให้คนหยิบได้มากกว่า วางแผนการโปรโมทสินค้าเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการรีวิว การโฆษณาผ่านสื่อโซเชี่ยลมีเดีย หรืออาจจะเป็นการแจกเทสเตอร์ต่างๆ ออกแบบรูปภาพ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ให้ตรงกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ น่าสนใจ ดึงดูด และเข้าใจง่ายที่สุด 7. แพคเกจจิ้ง ใครว่าไม่สำคัญรูปลักษณ์ของสินค้าและแพคเกจจิ้ง คือการตลาดที่ผู้บริโภคจับต้องได้และแชร์ต่อได้ง่ายที่สุด ดังนั้นการออกแบบ การเลือกสี การเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์จึงมีความสำคัญมาก แพคเกจจิ้งที่ดีจะต้อง ดึงดูด เตะตา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่าจับต้อง: เช่น เลือกใช้รูปภาพบนกล่องบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น ใช้เทคนิคพิเศษในการพิมพ์ เช่น การปั๊มเงินทอง ปั๊มนูน หรือ spot UV ใช้สีหรือการออกแบบลายเส้นที่ดูโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ สื่อสารกับผู้บริโภคได้ดี: เข้าถึงได้เร็ว มองแล้วรู้ทันทีว่าคือผลิตภัณฑ์คืออะไร มีคอนเซ็ปต์ของสินค้าหรือแบรนด์อย่างไร เช่น การใช้สีต่างกันก็ให้อารมณ์ของสินค้าที่แตกต่างกัน หรือรูปร่างที่ต่างกันของกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ก็เป็นเครื่องมือสื่อสารได้ดี (เช่น ครีมมะเขือเทศ ที่บรรจุในกระปุกรูปมะเขือเทศ เป็นต้น) ปกป้องผลิตภัณฑ์ได้จริง: เช่น กล่องอายแชโดว์ ควรจะปกป้องไม่ให้เนื้อผลิตภัณฑ์แตกได้ หรือหากคุณขายรองพื้น ขวดควรจะหนาไม่แตกง่าย ฝาปิดสนิทไม่ซึมหก ปลอดภัยสำหรับการขนส่ง สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์มากขึ้น: บรรจุภัณฑ์ที่ดี ไม่ใช่เพียงทำให้น่าซื้อเท่านั้น แต่ยังทำให้แบรนด์ดูดี น่าเชื่อถือมากขึ้นได้ด้วย อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบแพคเกจจิ้งได้ที่ “ข้อมูลที่ต้องพร้อม” ก่อนเริ่มออกแบบแพคเกจจิ้ง!” หากยังไม่มีไอเดียการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจจะลองหาไอเดียใน pinterest.com ที่รวบรวมผลงานการออกแบบเก๋ๆ ไว้มากมาย หรือจะดูในเวป https://locopack.co/ ของเราก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ หากคุณขายเครื่องสำอางผ่านช่องทางออนไลน์ กล่องไปรษณีย์ที่ใช้ส่งให้ลูกค้า ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างความประทับใจให้ลูกค้าตอนได้รับพัสดุและเปิดกล่องก็สามารถทำได้หลายทาง เช่น กล่องที่ใช้ส่งไปรษณีย์ อาจจะมีการออกแบบเฉพาะตัวสำหรับแบรนด์ของคุณโดยเฉพาะ หากคุณสนใจทำกล่องติดแบรนด์ของคุณเอง คุณสามารถให้ LocoPack ออกแบบและผลิตกล่องให้ได้ตรงตามคอนเซ็ปต์แบรนด์ของคุณเลย มีการห่อสินค้าภายในที่สวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนเปิดห่อของขวัญ อาจจะมีการบุรองสินค้าด้วยผ้า หรือกระดาษเพื่อให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมมากขึ้น ใส่บัตรลดราคาหรือโปรโมชั่นลงไปด้วย เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อซ้ำ หากเป็นลูกค้าคนสำคัญ เราอาจจะเขียนโน้ตใส่กระดาษสวยๆ เพื่อขอบคุณ สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้เช่นกัน แถมแซมเปิลไปด้วย การแจกแซมเปิ้ลนั้นสามารถกระตุ้นยอดขายได้ หากคุณมีผลิตภัณฑ์หลายชนิด การแจกแซมเปิ้ลจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าที่ซื้อแบรนด์เราอยู่แล้ว ซื้อสินค้าอื่นเพิ่มมากขึ้น หรือลูกค้าอาจจะนำสินค้าไปแนะนำให้กับเพื่อนๆได้เลย กล่องไปรษณีย์และการแพคสินค้าส่ง สามารถสร้างยอดขายให้เราได้ในแบบที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงเลยครับ คุณสามารถดูข้อมูลเรื่องการส่งพัสดุเพิ่มเติมได้จากบทความของ LocoPack เรื่อง “16 ทริคสุดยอดการส่งพัสดุแบบมือโปร สำหรับพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์!!” 8. ขออนุญาตจดแจ้งเครื่องสำอางโดยทั่วไปหากเราใช้บริการโรงงาน OEM ทางโรงงานมักจะรับบริการจดแจ้งเครื่องสำอางให้เราอยู่แล้ว เพราะการขออนุญาตจะต้องให้โรงงานดำเนินการให้ แต่หากเราต้องการดำเนินการเอง ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย มีค่าบริการการขอจด 100 บาท รู้ผลทางออนไลน์ได้เลยครับ ลงทะเบียน สร้างบัญชีชื่อที่ https://www.egov.go.th เมื่อได้ ID มาแล้ว ก็ดำเนินการ ขอสิทธิ์เข้าใช้งานระบบ และ ทำการ login เข้าใช้ในส่วนบริการของประชาชนได้ที่ http://privus.fda.moph.go.th/9. วางแผนการจัดส่ง และการชำระเงินสะดวก และรวดเร็ว เป็นหัวใจหลักของธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน ก่อนที่จะเริ่มต้นวางขายสินค้าออนไลน์ เราจะเลือกให้ผู้บริโภคชำระเงินทางใด และจัดส่งอย่างไรได้บ้าง ควรมีหลายช่องทางให้ผู้บริโภคได้เลือก และต้องวางแผนขั้นตอนการทำงานให้ชัดเจน การจัดส่ง:- ไปรษณีย์: EMS ส่งลงทะเบียน หรือแบบพัสดุธรรมดา ใช้เวลากี่วัน ราคาเท่าไหร่ - ส่งกับขนส่งเอกชน: เลือกบริษัทขนส่งเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือ และจัดส่งรวดเร็ว ที่สำคัญคือ ควรอยู่ใกล้บ้านด้วยนะครับ (บางบริษัท เช่น SCG Express Kerry Express หรือ Alphafast มีบริการเข้ารับสินค้าถึงที่บ้านด้วยนะครับ) - เดลิเวอรี่: ส่งกับ Line Man, Grabbike หรือบริษัทเดลิเวอรี่อื่นๆ - นัดรับเอง หรือมีหน้าร้านให้รับ ควรทำแผนที่ให้ชัดเจน การชำระเงิน- โอนเงินผ่านธนาคาร: ควรเปิดบัญชีกับธนาคารอะไรบ้าง ควรมีพร้อมเพย์หรือไม่ มีการตรวจสอบยอดเงินอย่างไร - เก็บเงินปลายทาง: สามารถทำได้ทั้งกับไปรษณีย์และบริษัทขนส่งเอกชนบางบริษัท - ชำระผ่านบัตรเครดิต - ชำระผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น Line Pay, Paysbuy จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรืออื่นๆ 10. บริหารสต็อกของให้ดีบางทีขายเพลินๆ รู้ตัวอีกทีของหมดเสียแล้ว ต้องใช้เวลาผลิตสินค้า 1 เดือน เสียลูกค้าไปหลายคน เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเรามีระบบสต็อกสินค้าที่อัพเดทอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมีการคาดการณ์ปริมาณการขายอยู่เสมอ อาจจะทำใน excel หรือในปัจจุบันก็มีโปรแกรมสำเร็จรูปออกมาให้ใช้มากมาย ทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน นอกจากนี้ การเก็บสินค้า เพื่อให้คุณภาพสินค้าคงเดิมอยู่เสมอก็สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครื่องสำอาง ห้องเก็บสินค้าควรมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม หากมีสินค้าที่ผลิตคนละล็อตกัน วันหมดอายุต่างกัน ควรจะจัดวางสินค้าแยกไว้ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันสินค้าค้างสต็อกและหมดอายุ11. สร้างตัวตนและความรู้จักบนโลกออนไลน์ (Online Brand Identity and Awareness)การแข่งขันบนตลาดออนไลน์นั้นนับวันยิ่งดุเดือด โดยเฉพาะในวงการความสวยความงาม เราจะมีวิธีใดบ้างที่จะสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น ท่ามกลางคู่แข่งต่างๆ ลองทำตามขั้นตอนนี้ได้เลยครับ สร้างช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Line Website หรือไปขายบนเว็บ e-commerce ดังๆ สำคัญที่สุดคือ การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ คำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ภาพถ่ายสินค้าที่ดูดี หากจำหน่ายเครื่องสำอางหรือเมคอัพ อาจจะมีภาพนางแบบที่ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อโชว์ สี และเนื้อผลิตภัณฑ์ด้วย อาจจะมีวิดิโอสอนใช้ผลิตภัณฑ์ประกอบ Facebook: เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Engagement กับลูกค้า ให้ข้อมูล สร้าง Community ให้กับแบรนด์ ยิงโฆษณาโปรโมทสินค้าเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ Instagram: จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ผู้บริโภคเข้าใจได้เร็ว เพราะเป็นการสื่อสารด้วยรูปภาพและ VDO เป็นหลัก Line@: ใช้สำหรับติดต่อสื่อสาร แจ้งโปรโมชั่นกับลูกค้าที่ใกล้ชิดมากขึ้น เป็นช่องทางปิดการขายที่ได้ผลดี สามารถมีแอดมินช่วยตอบได้หลายคน Website: เป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้บริโภคเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าของเรา สั่งซื้อสินค้า และยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อีกด้วย Web e-commerce: เช่น Shoppee, Lazada, 11street, WeLoveShopping, Tarad และอื่นๆ เว็บไซต์เหล่านี้มีการโปรโมทสร้างฐานลูกค้าเพื่อเข้าเว็บไซต์อยู่สม่ำเสมอ เป็นการช่วยลดต้นทุนการทำโฆษณา และช่วยให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น มีธีมที่ชัดเจนไม่ใช่แค่สร้าง และลงภาพเท่านั้น หากคุณซีเรียสเรื่องการสร้างแบรนด์ ทุกรูปภาพ และสื่อต่างๆ ควรจะออกมาในรูปแบบเดียวกัน เช่น ธีมธรรมชาติ แบรนด์เน้นสีเขียวอ่อน รูปภาพก็ควรสื่อสารธีมของแบรนด์ได้ ไม่ใช่ใช้สีสันฉูดฉาด ซึ่งธีมนี้ควรจะได้รับการวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนการคิดแนวทางการตลาดของแบรนด์ รีวิวสินค้าผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะเสิร์จหารีวิวของสินค้าก่อนทำการซื้อ ก่อนที่จะทำการขาย เราอาจจะส่งผลิตภัณฑ์ไปให้ Beauty blogger เน็ตไอดอล เพจรีวิว หรือผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อออนไลน์ก่อน อาจจะเป็นเพื่อนๆ ให้ช่วยรีวิวบนเพจ หรือจัดโปรโมชั่นลดราคาสำหรับลูกค้าที่กลับมารีวิวให้ก็ได้เช่นกัน ผลิตคอนเทนต์ที่น่าสนใจไม่ว่าจะบนเฟสบุ้ค หรืออินสตราแกรม การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เพียงแค่โปรโมทขายสินค้าเท่านั้น การสร้างคอนเทนต์อื่นๆ ที่เป็นการ “สร้างบรรยากาศของแบรนด์” ก็ช่วยได้มากทีเดียว เช่น หากคุณขายลิปสติก แทนที่จะลงคอนเทนต์เฉพาะเนื้อสี แท่งสลิปสติก อย่างเดียว อาจจะลงเป็นภาพถ่ายของนางแบบที่ทาลิปสติกสีหนึ่ง ไปเที่ยวทะเล ซึ่งอาจจะไม่เน้นสินค้ามากนัก แต่เป็นการให้ไอเดียกับผู้บริโภคได้ว่า สินค้าเรานั้น สามารถทาได้หลายโอกาส หลายสถานที่ และเปลี่ยนบุคลิกได้ หรืออาจจะเป็นคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเลือกสีลิปสติกให้เข้ากับเสื้อผ้าหน้าผมก็ได้เช่นกัน การบริการลูกค้าที่ดี เน้นความจริงใจแบรนด์ดี สินค้าดี จะขาดการบริการที่ดีไม่ได้เลย การตอบคำถามลูกค้า รวมทั้งการสื่อสารกับลูกค้า ก็สื่อถึงความจริงใจของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี บางแบรนด์ใหญ่ๆ จะมีการเซ็ตวิธีการตอบ น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งบุคลิกของคนตอบ เพื่อสื่อถึงความเป็นแบรนด์กันเลยทีเดียว! 12. ต้องเตรียมงบประมาณเท่าไหร่อ่านถึงตรงนี้คงจะเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าจะเริ่มทำแบรนด์ควรจะต้องเตรียมเงินประมาณเท่าไหร่ดี โรงงาน OEM ส่วนมากในตอนนี้ทำรับทำขั้นต่ำที่จำนวนไม่สูงมาก ค่าทำผลิตภัณฑ์ รวมทั้งค่าพัฒนาสูตร ทำบรรจุภัณฑ์ เริ่มต้นที่ 50,000-200,000 บาท ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ แต่หากเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทางโรงงานทำไว้อยู่แล้วมาบรรจุเองก็จะถูกกว่า โดยอาจจะเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป เริ่มกันเลย!อ่านจนจบแล้วบางคนอาจจะเริ่มกลัว แต่จริงๆ แล้วการสร้างแบรนด์นั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด การวางแผนที่ดีจะช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เห็นขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนขึ้น มองเห็นภาพของธุรกิจได้ครบทุกสัดส่วน ช่วยให้งานเสร็จได้เร็ว และดูแลง่ายขึ้น ไม่มีใครทำอะไรออกมาสมบูรณ์แบบได้ตั้งแต่ครั้งแรก ขอให้มีความตั้งใจ และเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แบรนด์เครื่องสำอางเงินล้านที่คุณใฝ่ฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ! Credit: brandbuffet ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำ ducttapemarketing hingemarketing liveabout minutehack innisfree
4 เคล็ดลับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ
ธุรกิจแพกเกจจิ้งออกแบบ
11 May 2020
สำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือผู้ที่สนใจอยากเริ่มต้นที่จะทำธุรกิจ ที่อยากประสบความสำเร็จ คงหนีไม่พ้นการทำให้ตัวสินค้าออกมาให้ดี ออกแบบได้สะดุดตาผู้บริโภค ดูน่าซื้อ ดูคุ้มค่าที่จะเสียเงินซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปใช้ แต่นอกจากสินค้าที่มีคุณภาพดีแล้ว หลายครั้งที่สินค้าของเราอาจมีคุณภาพไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดมากเท่าไหร่นัก สิ่งที่จะเสริมเติมแต่งทำให้สินค้ามีมูลค่าและน่าซื้อมากขึ้น อาจจะไม่ใช่การนำเสนอด้าน Function การใช้งาน แต่เป็นการเสริมด้าน Emotion มากกว่า เพราะต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของคนเรา บางครั้งเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลในการที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ใช้ “อารมณ์” มากกว่า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจ คำถามที่พบบ่อยของผู้ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ นั่นคือ เราจะออกแบบบรรจุภัณฑ์อย่างไรให้ผู้บริโภครู้สึกอยากซื้อสินค้า? ต้องสีจัดๆ ตัวเลขตัวหนังสือใหญ่ๆ หรือต้องโชว์สินค้า? ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ออกแบบ ที่จะทำให้สินค้าของเราดูโดดเด่นน่าซื้อ การออกแบบไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงประสิทธิผลที่จะตามมาอีกด้วย เช่น ถ้าออกแบบกล่องมาแล้วสวย แต่ขายของไม่ได้ก็ถือว่าไม่ได้ผล อาจจะตอบโจทย์ผู้ออกแบบ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์เจ้าของแบรนด์ นั่นเป็นเหตุผลที่จะต้องออกแบบให้สินค้าและแพคเกจจิ้งดูมีมูลค่าขายด้วยตัวเองได้ เห็นแล้วสื่อสารถึงการใช้งานได้จริงๆ น่าเชื่อถือ สวยสะดุดตา ถึงจะได้มาในเรื่องของยอดขาย วันนี้เราเลยขอนำเสนอ 4 หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ 1. บรรจุภัณฑ์ที่ดูแล้วกระแทกตากระแทกใจเวลาที่สินค้าของเราวางอยู่บนชั้นที่รายล้อมไปด้วยสินค้าที่เหมือนๆกัน ลูกค้าจะกวาดสายตามองไปบนชั้นเพื่อหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่การที่จะทำให้สินค้าของเราโดดเด่น มองเห็นได้ง่ายบนชั้นวาง และหยุดสายตาของลูกค้าไว้ได้นั้น เราต้องวิเคราะห์ตลาดก่อนว่าสินค้าของคู่แข่งที่วางอยู่บนชั้นวางเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น Concept การออกแบบหมากฝรั่ง Trident สนุกๆของ Hani Douaji ที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยการวางหมากฝรั่งให้เรียงตัวสวยเหมือนฟันบน Background สีชมพูที่มองดูเหมือนเหงือก โดยลูกค้าสามารถเอาแพคเกจจิ้งไปวางปิดปากเอาไว้ เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มเห็นฟันอยู่ ซึ่งก็สื่อถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการเคี้ยวหมากฝรั่งว่าถ้ามี Trident อยู่ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องช่องปากไม่สะอาด ยิ้มแล้วจะมีอะไรติดฟัน ทำให้ตัวบรรจุภัณฑ์โดดเด่นขึ้น และ ทำให้การออกแบบบรรจุภัณฑ์นี้ ได้รับการชื่นชมจากกระแสโลกออนไลน์ อยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว2. ดึงดูดผู้ที่สนใจจะซื้อด้วยแพคเกจจิ้งบรรจุภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดที่โดดเด่น อาจจะโดดเด่นด้วยสี หรือการดีไซน์ แต่ผู้บริโภคอาจจะต้องการอะไรมากกว่านั้นเหมือนกับ Concept บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารของ Ian Gilley ที่มองเห็นถึงปัญหาของผู้บริโภค โดยต้องการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยแนวความคิดนี้ได้มาจากการที่ผู้บริโภคใช้ชีวิตเร่งรีบ จะถืออาหารสองมือก็ไม่ค่อยถนัด อีกทั้งปริมาณขยะในแต่ละวันของร้านอาหาร Fast food ก็เยอะมาก Ian Gilley เลยได้คิดค้นบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษบีบอัดที่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานจริง เห็นแล้วน่าสนใจ รวมกับวัสดุที่ใช้ ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้น่าสนใจและตอบโจทย์คนที่ใช้ชีวิตรีบๆและจำเป็นต้องทานอาหารฟาสต์ฟู้ด 3. การสื่อสารได้ดีและบอกสิ่งที่เราแตกต่างจากคู่แข่งบรรจุภัณฑ์ที่ดีจะต้องสื่อสารได้ แม้วางเฉยๆก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งนี้คืออะไร เช่น การใช้ภาพสื่อถึงการใช้งาน หรือการมีข้อความที่บอกถึงประโยชน์การใช้งานได้ภายในหนึ่งประโยค และถ้าสินค้าเรามีจุดแข็งในมุมที่แตกต่างจากคู่แข่ง เราควรงัดสิ่งนั้นออกมาให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างอย่างไร เช่น ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หูฟังจาก Panasonic ที่ออกแบบโดย Scholz And Friends agency แนวคิดมาจากการที่ต้องการสื่อสารความต่างของคุณภาพหูฟังรุ่นนี้ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็น passionate music lovers ด้วยการออกแบบที่พันสายและวางเรียงหูฟังเป็นรูปโน๊ตตัวที่แปดสองตัว ทำให้หูฟังชิ้นนี้ดูแล้วเข้าใจได้เลยทันทีว่า เหมาะกับการใช้ฟังเพลง โดยใช้กล่องใสที่ทำให้เห็นตัวสินค้าภายใน ทำให้สินค้าสื่อสารได้ด้วยตัวเอง ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและได้รับรางวัลการออกแบบ Cannes Lions 2010 Gold winners เลยทีเดียว4. มอบความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือ สะท้อนจากภายในสู่ภายนอกโจทย์ของการออกแบบผลิตภัณฑ์อาหารสดก็คือทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเชื่อว่า อาหารที่อยู่ภายใน สด สะอาด ปลอดภัย จริงๆ ถ้าแบรนด์ไหนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคได้ ก็จะทำให้ผู้บริโภทมั่นใจที่จะหยิบสินค้าของแบรนด์นั้นๆมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ของ S-Pure ที่ใช้ถาดสีขาวประกอบกับแถบคาดที่สื่อสารประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ โดยใช้ข้อความเน้นย้ำเรื่องความสด สะอาด ปลอดภัย เน้นออกแบบให้ดูสะอาด ดูคลีน แล้วโชว์สินค้าให้เห็นชัดๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นและมั่นใจที่จะเลือกซื้อสินค้าจาก S-Pure มากขึ้น หวังว่าทั้ง 4 หัวข้อในบทความนี้ คุณสามารถนำไปปรับใช้และนำไปเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของคุณ เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นได้ หากคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ที่สนใจปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์บรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขาย อย่าลืมมาปรึกษา LocoPack ดูก่อนนะครับ เรารับผลิตกล่อง รับออกแบบบรรจุภัณฑ์ ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น เพื่อยอดขายที่เติบโตเพิ่มมากขึ้นครับ Credit:  designbridge.com , behance.net , behance.net , coloribus.com
16 ทริคสุดยอดการส่งพัสดุแบบมือโปร สำหรับพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์!!
ธุรกิจแพกเกจจิ้ง
11 May 2020
16 ทริคสุดยอดการส่งพัสดุแบบมือโปร สำหรับพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์!! หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้า มนุษย์ออฟฟิศ ที่ทำธุรกิจออนไลน์ และมีความจำเป็นจะต้องส่งของผ่านทางไปรษณีย์อยู่บ่อยๆ ไม่ว่าสิ่งของที่อยู่ด้านในนั้นจะเป็นวัสดุแบบไหน หากอ่านคู่มือทั้งหมดนี้ไว้ก็อุ่นใจแน่นอน เพราะเราได้รวบรวมเคล็ดลับทั้งหมด 16 ข้อ ที่ได้กวาดเอาเทคนิคในการส่งพัสดุทั้งหมดรวมมาไว้ให้ในบทความนี้บทความเดียวเท่านั้น จากที่ใครหลายๆคนอาจจะกังวลใจไป ส่งพัสดุไปแล้วจะต้องให้คุกกี้ทำนายกันมั้ย..ว่าของที่ส่งไปผู้รับจะได้รับถึงมือในสภาพปลอดภัย 100% แน่นอน มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอให้ทุกคนปักหมุดไว้..แล้วแชร์วนไป คราวหน้าจะส่งพัสดุรับรอง ผู้รับจะต้องร้องโอ้โห Professional ที่แท้ทรู! 1. บับเบิ้ลดีต่อใจ ใช้รองกระแทกวนไปอุปกรณ์พื้นฐานยอดนิยมที่ผู้ที่คลุกคลีกับวงการส่งไปรษณีย์ต้องรู้! เพราะ “แผ่นรองกระแทก” หรือ “บับเบิ้ล” ไอเท็มขวัญใจเด็กๆ ที่ชอบเอาไว้บีบเล่นนั้น ไม่ได้มีดีแค่เป็นของเล่นอย่างเดียว แต่คุณสมบัติหลักๆของบับเบิ้ลนั้นจะช่วยดูดซับแรงกระแทกเมื่อสิ่งของทั้งหลายในกล่องเกิดการเขย่า หรือการกระแทกไปมา ทำให้คุณอุ่นใจไปอีกสเต็ปว่าของที่อยู่ภายในกล่องนั้นมีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ของด้านในจะเสียหายให้แล้ว เพราะฉะนั้น ก่อนจะส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงว่าหากถูกกระแทก หรือถูกโยนแล้วจะเสียหาย ให้ #ห่อบับเบิ้ลวนไป ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ บับเบิ้ลมีน้ำหนักเบา ถึงแม้จะห่อซัก 2-3 รอบ น้ำหนักก็ไม่ได้เพิ่มอะไรมาก ค่าส่งไปรษณีย์ก็ไม่ได้พุ่งพรวดอะไรไปมากด้วยเช่นกันครับ2. เลือกขนาดให้ถูกไซส์..อุ่นใจกว่าการเลือกขนาดกล่องให้ถูกไซส์กับตัวพัสดุนั้น นอกจากจะทำให้การห่อพัสดุนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และว่องไว ยังเป็นการลดความเสียหายของพัสดุด้านในอีกวิธีนึงอีกด้วย ทริคง่ายๆหากไปแพคของที่ไปรษณีย์หรือจะเป็นขนส่งเอกชน ให้ลองเทียบไซส์จากของที่เรามีกับกล่องที่มีให้เราเลือก หากไม่แน่ใจ แนะนำว่าลองวางพัสดุแล้วห่อหุ้มดูว่าเหลือที่ว่างเยอะมั้ย หากที่ว่างยังเหลือมากขนาดที่เราลองเขย่าแล้วยังมี Space อีกเพียบ แนะนำให้เปลี่ยนขนาดกล่องให้ไว เพราะว่ายิ่งมี Space เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่สิ่งของนั้นจะกระแทกไปมาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย อีกวิธีคือการใช้บริการรับผลิตกล่อง ให้ขนาดของกล่องไปรษณีย์พอดีกับขนาดพัสดุของเรา วิธีนี้นอกจะจะช่วยลดขนาดที่ว่างภายในกล่องที่ไม่จำเป็นแล้ว อาจจะช่วยประหยัดค่าส่งสินค้าได้ด้วยเนื่องจากบริษัทขนส่งเอกชนหลายๆที่ คิดค่าจัดส่งตามขนาดกล่อง กว้าง + ยาว + สูง นั่นเองครับ3. มาตรฐานของกล่องเป็นอย่างไร..ไปเช็คกัน!สายหวั่นไหวกับของถูก อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป หากจะส่งของไปให้ใครก็ตามยิ่งเป็นในระยะทางไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานของกล่องมากขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นเพราะการเลือกกล่องพัสดุ ยิ่งมีราคามากขึ้นเท่าไหร่ กล่องก็จะยิ่งมีมาตรฐานดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องมาตรฐานของกล่องจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป อย่าเลือกแค่มีเกณฑ์การตัดสินที่ว่า “ของมันถูก” คุณภาพที่คุณได้ก็จะถูกตามไปด้วย แต่ความเสียหายที่ได้มา อาจจะต้องเสียเงินเพิ่มแบบไม่คุ้มค่าด้วย หากอยากได้กล่องดีมีมาตรฐาน อย่าลืมมองหา Supplier รับผลิตกล่องที่มีมาตรฐาน ไว้ใจได้กันด้วยนะครับ4. เลือกกล่องใหม่ไฉไลกว่ารียูสเข้าใจว่าเรื่องของการรักษ์โลกมันต้องมา แต่หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์มืออาชีพแล้ว เราแนะนำให้ใช้กล่องใหม่จะไฉไลกว่า คุณจะได้เครดิต ภาพลักษณ์ที่ดีว่าสั่งของจากร้านนี้ใช้กล่องใหม่ได้คุณภาพนะ นอกจากนี้ที่สำคัญคือ 70% นั้น คือ ตัวเลขของการรองรับการกระแทกหากใช้พัสดุใหม่ที่ไร้รอยแตก รอยพับ เพราะฉะนั้น หากมีโอกาสเลือก ให้เลือกกล่องใหม่เพื่อความคุ้มค่า พัสดุถึงทันใจไม่ต้องมานั่งกังวลกับค่าเสียหายภายหลังนะครับ5. หากใช้กล่องรียูสก็ต้องให้โฟมช่วย หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กล่องรียูสส่งพัสดุ โดยเฉพาะในเคสที่สิ่งของในกล่องมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แนะนำให้ใช้โฟมนำมารองไว้ที่มุมต่างๆ ของกล่องพัสดุ เพราะจะเป็นการรองรับการกระแทกได้เป็นอย่างดี ทำให้พัสดุที่ส่งไปมีความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง 6. เลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมเพราะการเลือกประเภทกล่องลูกฟูกที่เหมาะสมนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆที่จะต้องคำนึงถึง เนื่องจากกล่องพัสดุแต่ละกล่องนั้นใช้กระดาษที่ไม่เหมือนกัน ความหนา จำนวนชั้นก็ต่างกัน เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติการกันกระแทก หรือความอยู่ทน อยู่นานที่ถูกออกแบบมาอย่างแตกต่างกัน เช่น การบรรจุสิ่งของที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้กล่องที่มีความหนา 5 ชั้นแทน เป็นต้น หากคุณไม่แน่ใจ เราแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือจะปรึกษาเราดูก่อนก็ได้ครับว่าสินค้า น้ำหนักและขนาดเท่านี้ ควรจะใช้กล่องประเภทไหน ถึงจะบรรจุสินค้าได้อย่างเหมาะสมที่สุดครับ7. แพ็คให้เหมาะกับสภาพฝนฟ้าอากาศบางคนอาจจะงงว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่จะบอกว่า สภาพอากาศเป็นอีกปัจจัยสำคัญถ้าคิดจะส่งพัสดุ ลองคิดภาพตามดูง่ายๆว่า ต่อให้แพ็คของอย่างแน่นหนามากแค่ไหน แต่ดันต้องส่งของในช่วงหน้าฝน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เราจะสามารถทำให้พัสดุด้านในนั้นปลอดภัยได้อย่างไรบ้าง หากพัสดุเปียกน้ำแล้วจะเสียหายมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเคสที่พัสดุข้างในเป็นกระดาษ หรือวัสดุที่เปียกชื้นแล้วจะสร้างความเสียหายมาให้ แนะนำให้ใส่พลาสติกกันไว้อีกชั้น..จะได้อุ่นใจมากขึ้นกับการส่งพัสดุฝ่าหน้าฝนไปได้ชิลๆครับ8. จัดการทิศทางและพื้นที่ให้ดี“การจัดการที่ดี” ใครว่าไม่สำคัญ เพราะการจัดการนั้นเอามาใช้ได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการส่งพัสดุ ในกรณีที่มีการส่งพัสดุมากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไปในกล่องเดียว ควรจะจัดวางเผื่อการกระแทก การชนกันของวัตถุด้วย ลองนึกดูจากกรณีง่ายๆว่าถ้าวางของไปผิดทิศทาง สิ่งของที่อยู่ในนั้นก็อาจจะทิ่มทะลุกัน หรือกระแทกกันจนแตกทำให้ความเสียหายเพิ่มคูณ 2 ได้ หรือหากต้องส่งพัสดุที่มีน้ำหนักมากหลายชิ้น ก็ควรวางกระจายน้ำหนักให้ดี ไม่ให้จุดใดจุดหนึ่งของกล่องต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และควรใส่ของที่มีน้ำหนักเยอะไว้ด้านล่างของที่มีน้ำหนักเบา เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งของด้านในทับกันเสียหายด้วยนะครับ9. บางครั้งอาจจะพึ่งผู้เชี่ยวชาญบ้างหากจำเป็นต้องส่งพัสดุที่สำคัญ แต่ประสบการณ์ส่งของดัน..มีไม่มากพอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายของพัสดุ เราควรจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นพนักงานของทางไปรษณีย์ หรือบริษัทที่รับส่งพัสดุโดยตรงเลยก็ได้ ดังนั้น อย่าลืมว่าหากเป็นครั้งแรกๆของคุณtoและไม่อยากพลาด แนะนำว่าให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า เพื่อให้มั่นใจได้ว่า พัสดุที่จะส่งไปนี้ไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน 10. ติดป้าย FRAGILE ก็ปลอดภัยไปอีกระดับหากจะต้องส่งพัสดุที่มีความเสี่ยงที่โยน กระแทกแล้วจะทำให้พัสดุเสียหาย หรือแตกกระจายได้ แนะนำให้ติดป้าย FRAGILE ที่ทางไปรษณีย์หรือบริษัทเอกชนมักจะมีให้ในบางที่ ตรงนี้ก็จะเพิ่มเลเวลความระมัดระวังของผู้ส่งของให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นสติกเกอร์ที่บอกเป็นนัยๆว่าของแตกหักง่ายนะ ห้ามโยนโดยเด็ดขาด หรือหากไม่มีจริงๆก็อาจจะเขียนข้อความตัวใหญ่ๆ ด้วยภาษาไพเราะๆ ให้ง่ายต่อการมองเห็น พนักงานที่ส่งพัสดุเห็นก็จะได้ไม่โยน ไม่กระแทกกล่องไปรษณีย์ของเรา แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าต่อให้ติดสติ๊กเกอร์หรือเขียนอะไรไว้ก็แล้วแต่ บางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจจากพนังงาน เราจึงต้องใช้เทคนิคอื่นๆประกอบด้วย เพื่อให้พัสดุเราปลอดภัยจนถึงมือผู้รับนะครับ11. ตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องอีกวิธีง่ายๆที่ใช้ในการตรวจสอบความแน่นหนาของพัสดุ จะได้รู้ว่าเราแพ็คดีพอหรือยัง แน่นหนาพอที่จะรองรับการกระแทกได้หรือยัง ในกรณีนี้หากตรวจสอบความแน่นหนาด้วยการเขย่ากล่องแล้ว ของด้านในยังเลื่อนไปมาได้อยู่ แนะนำให้เปลี่ยนไซส์กล่องกระดาษ หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือโฟมกันกระแทกยัดไว้ในช่องว่างที่มีในตัวกล่อง เพื่อเพิ่มเลเวลความมั่นใจในการส่งไปอีกระดับนะครับ12. อุปกรณ์แหลมคมมีโฟมกันไว้ได้ใจผู้รับหากมีความจำเป็นที่จะต้องส่งอุปกรณ์แหลมคม เช่น กรรไกร มีด กรรไกรตัดกิ่ง จอบ เสียม ที่มีคม แนะนำให้ใส่โฟมกันกระแทกไว้ที่ตรงปลายแหลมคมเป็นลำดับแรก ต่อจากนั้นอาจจะหุ้มต่อด้วยบับเบิ้ล กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือจะเป็นพลาสติกกันกระแทกในรูปแบบต่างๆให้เรียบร้อย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับพัสดุไปอีกระดับ เพราะอุปกรณ์แหลมคมไม่เข้าใครออกใคร หากจะต้องเคลื่อนย้าย หรือถูกกระแทกนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะไปทิ่มแทงกล่องให้ขาดได้ง่ายๆด้วยนะครับ13. ห่อถุงพลาสติกอีกชั้นสำหรับส่งของเหลวหากต้องส่งสินค้าที่เป็นของเหลว เช่น น้ำหอม ครีม เจลต่างๆ ที่บรรจุภัณฑ์มาในรูปแบบขวด และเสี่ยงต่อการโดนกระแทกและแตกหากเกิดการโยน ควรจะใช้เทปติดตรงฝาหรือจุกไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝาหรือจุกหลุดออกมาระหว่างขนส่ง ห่อด้วยบับเบิ้ล แล้วใส่ถุงพลาสติกที่มีซิปล็อคทับแยกชิ้นไปเลย เพื่อความปลอดภัย เพราะหากเกิดการแตกระหว่างขนส่ง พัสดุที่ห่อแยกชิ้นจะทำให้การแตกกระจายของของเหลวนั้น ยังรั่วซึมอยู่ในถุงพลาสติกที่ห่อหุ้ม จะได้ไม่ปนกันกับของเหลวชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มความเสียหายให้ทวียิ่งขึ้นไปได้14. ติดเทปกาวบนกล่องรูปตัว Hเทคนิคนี้จะใช้สำหรับกล่องฝาชน วิธีการคือ ให้แปะเทปกาวขั้นแรกตรงช่องกลางระหว่างกล่อง ที่ฝาสองด้านมาบรรจบกัน ขั้นตอนต่อไปก็คือ ให้ใช้เทปกาวแปะตรงขอบกล่องพัสดุทั้งสองด้านโดยแปะยาวลงมา เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น เราก็ได้ให้ความมั่นคง แน่นหนาแก่พัสดุไปอีกระดับ แต่เทปกาวขอให้ใช้เป็นเทปกาวที่หนา และใหญ่ สามารถครอบคลุมพื้นที่ของพัสดุให้ยึดติดกันได้ด้วยนะครับ15. ซื้อประกันลดความเสี่ยงหากจะต้องส่งพัสดุที่เสี่ยงต่อการแตกหัก เสียหาย นอกจากวิธีการที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เรายังสามารถลดความเสี่ยงค่าเสียหายได้ด้วยการซื้อวงเงินการรับประกันเพิ่มเติม เช่น การส่งทาง EMS สามารถซื้อประกันเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 50,000 บาท ซึ่งผู้ที่เป็นตัวกลางส่งของให้ มักจะมีเงื่อนไขในการรับผิดชอบความเสียหายของพัสดุและการซื้อประกันเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทจะกำหนด ให้ลองศึกษาเงื่อนไขและข้อตกลงดูดีๆก่อนซื้อประกันนะครับ16. ใส่เบอร์โทรทั้งสองฝ่ายไว้ ประสานงานได้ไวขึ้นไม่ว่าคุณจะส่งพัสดุกับไปรษณีย์ หรือกับบริษัทเอกชน สิ่งเล็กน้อยที่คุณไม่ควรจะมองข้ามไปนั่นก็คือ การใส่เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับ และผู้ส่ง ที่ปัจจุบันมักจะมีช่องให้กรอกเบอร์โทรศัพท์อยู่แล้ว หากมีเบอร์สำรองก็ใส่ไปด้วยก็ดีครับ อย่าลืมตรวจเช็คให้ดีว่าต้องเป็นเบอร์ที่สามารถติดต่อได้นะครับ หากมีเหตุขัดข้องอะไร หรือคนส่งพัสดุที่ไปถึงที่แล้ว จะได้สามารถติดต่อผู้รับได้ทันใจ ตรงนี้ก็จะทำให้การส่งพัสดุมีความราบรื่นมากขึ้นนะครับ ทั้ง 16 ข้อนี้ถือเป็นคัมภีร์ฉบับขั้นสุดยอด หากทำตามข้อปฏิบัติพวกนี้ได้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง ทำให้สินค้าที่ส่งผ่านทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชนนั้นจะไปถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น หากคุณกำลังมองหาผู้รับผลิตกล่องไปรษณีย์ที่มีมาตรฐาน หรือต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์บนกล่องไปรษณีย์ อย่าลืมลองมาปรึกษา LocoPack ดูก่อนนะครับCredit: YouTube/thailandpostchannel, brandbuffet.in.th

© 2025 LocoPack All rights reserved.